วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ด่วน ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับเรื่องเล็ก exhibition!!!

วงนำ้ชาใกล้จะครบวาระ อายุได้ ๔๑๔ วันในอีกไม่กีสัปดาห์นี้ จึงใคร่ขอเชิญพี่น้องๆ ส่งคำอวยพร
คำกลอนประทับใจ และความคิดถึงมาหาเรา ส่งได้เรื่อยๆ แต่ถ้าได้ก่อนวันที่ ๒๙ นี้จะเป็นการดี
ดูรายละเอียดจากภาพที่แนบมาน่ะคร้าบ

วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2552

โฮมสคูลคืออะไร: แนะนำหนังสือดีพี่พ่อกับลูกตบเท้ามาเขียนให้เราอ่านกัน

ณ วงนำ้ชาขอนแก่นเย็นวันนี้ เราได้มีโอกาสโชคดีพบกับท่านผู้ปกครองท่านหนึ่ง ซึ่งแวะเวียนมาที่วงน้ำชาขอนแก่นเนื่องจากได้ยินได้ฟังมาจากเพื่อนของเธอว่า ที่วงนำ้ชาของเรามีหนังสือเกี่ยวกับโฮมสคูลขาย

ท่านได้เล่าให้เราฟังว่าได้มีโอกาสเข้าร่วมการอบรมโรงเรียนพ่อแม่ ณ โรงเรียนเทศบาลบ้านโนนทันเมื่อสองเดือนที่แล้ว และได้มีโอกาสไปอ่านบทความที่เว็บไซด์ www.wongnamcha.com แล้วก็เกิดมุมมองใหม่ทรรศนะใหม่เกี่ยวกับ "บทบาทของการเป็นแม่ที่ดี" ว่าจริงๆ แล้วเราควรให้ความสำคัญอย่างยิ่งที่จะเข้าใจ "ลูก" มากกว่าที่จะรอให้ลูกมาเข้าใจพ่อแม่ การแสดงออกของลูกหลายๆ อย่างทั้งในแง่ดีและแง่ลบเกิดมาจาก การปฏิบัติของพ่อแม่ต่อลูก

พ่อ แม่ ลูก ทั้งสามองค์ประกอบมีส่วนในการสร้างครอบครัวที่อบอุ่น แต่จะทำอย่างไรจึงจะเกิดความสมดุล
ได้เล่า

คุณแม่ท่านนี้เล่าให้ฟังถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเมื่อคุณแม่หันมาให้ ความสำคัญ ดูแล เอาใจใส่ต่อรายละเอียดของลูก ให้ความสำคัญต่อความ "เข้าใจ" ในตัวลูก เธอเน้นนักเน้นหนาว่า พอเราเข้าใจลูกแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างแม่และลูกก็ดีขึ้น พ่อแม่เปลี่ยนมุมมองของตนเองและหันมา "ฟัง" ลูกอย่างตั้งใจ ความเข้าใจดังกล่าวก็เกิดขึ้น

ตอนท้ายคุณแม่ท่านนี้ก็เล่าให้ฟังว่า สนใจที่จะจัดกระบวนการพูดคุยกันภายในครอบครัว ระหว่าง พ่อ แม่และลูก แต่ยังไม่เคยทำ แต่ก็อยากลองทำ คุณลูกที่นั้งอยู่ติดๆ กัน(ซึ่งแวะมาทีหลังเพื่อมารับคุณแม่) ก็เลยเสริมให้เราฟังว่า พอคุยกันทีไรก็ทะเลาะกันทุกที ทำยังไงถึงจะไม่ทะเลาะกันเล่า วงน้ำชาก็เลยเสริมไปให้ฟังว่า จริงๆแล้วสมาชิกวงนำ้ชาก็ยังไม่เคยได้ทำอะไรเช่นนี้มาก่อน แต่ก็อยากให้ครอบครัวของคุณแม่ท่านนั้นไปลองดู แต่อาจจะเริ่มจากการตั้งกฎ กติการ่วมกัน และมีข้อควรปฎิบัติที่สำคัญก็คือ เคารพผู้พูดและเป็นผู้ฟังที่ดี นอกเหนือจากนั้นก็ให้เป็นไปตามธรรมชาติ และเสริมไปอีกว่า อยากให้ลองทำดู ได้ประสบการณ์เช่นไรก็ลองมาเล่าให้กันฟังอีกที

เกริ่มเสียอย่างยาว จริงๆ แล้ววงน้ำชาอยากจะแนะนำหนังสือสองเล่มนี้ที่อาจจะเกี่ยวกันอยู่บ้างถึงปรัชญาและแนวทางในการดูแลกันและกันภายในครอบครัว เปิดโอกาสให้การเรียนรู้ที่แท้จริงเกิดขึ้นในรั้วบ้านของกันและกัน


เล่มใหม่ล้าสุดคุณลูกเขียนเล่า:
อิสระอย่างยิ่ง ดังอิสรา

ราคา 250.00 บาท

รายละเอียด:
โดย อัสรา วังวิญญู
สำนักพิมพ์วงน้ำชา
พิมพ์ครั้งแรก 2551
หนา 290 หน้า

ยิ่ง มีพ่อและแม่ที่มีความสามารถพิเศษ อันที่จริงฉันคิดว่าทุกคนมีความพิเศษ ถ้าคำว่า พิเศษ คือไม่เหมือนทั่วไป เพราะรูปร่าง หน้าตา นิสัยใจคอ ความสามารถ ไม่ได้ออกมาจากแบบพิมพ์ จึงไม่มีใครเหมือนกันทุกอย่างทุกประการ แม้ว่าโหนกจะจากไปตอนยิ่งเพิ่งอายุ ๔ ขวบ แต่ใหญ่ก็เลี้ยงดูลูกด้วยความคิดที่ร่วมกันทั้งเขาและโหนก ในฐานะแม่ที่มีลูกยังเล็กเหมือนกัน ฉันคาดเดาว่าโหนกคงมีความกังกลต่อชะตากรรมของตัวเองและลูก ฉันตัดสินใจถามโหนกตรงๆ ว่า ห่วงลูกไหม โหนกมองตาฉันแล้วบอกว่า ห่วงสิ เธอน้ำตาคลอ ฉันบีบมือเธอเบาๆ ด้วยความรัก ไม่ได้พูดอะไรอีกเชื่อมั่นในสติปัญญาของเธอว่าจะคลี่คลายได้ ผ่านไปอีกสองสัปดาห์ ฉันไปเยี่ยมเธออีกถามคำถามเดิม ยังห่วงลูกไหม โหนกยิ้มเปิดเผยอย่างเป็นตัวเธอตอบว่า ไม่หรอก คุยกับใหญ่แล้ว ใหญ่เขาจะเลี้ยงลูกได้ดี....


หนังสือพ่อเขียน: โรงเรียนทำเอง (Home-made School)


ราคา 120.00 บาท
รายละเอียด:
วิศิษฐ์ วังวิญญู

สำนักพิมพ์ศยาม
พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2548 หนา 144 หน้า


... ความไม่ลังเล ความมีสติสัมปชัญญะ ความตั้งมั่น เป็นพลังขับเคลื่อนให้ผู้เขียน (วิศิษฐ์ วังวิญญู) ดำเนินการจัดทำโรงเรียนที่บ้าน หรือทำบ้านและชีวิตให้เป็นที่เรียนรู้ จนหมดความยึดมั่นในคำว่าไปโรงเรียนอย่างสิ้นเชิง ... และได้นำมาถ่ายทอดผ่านหนังสือเล่มนี้ ในรูปของการเล่าถึงประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเองและลูก อันเป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจ อาทิ การเข้าสังคม ความเป็นอยู่ในชีวิตที่เรียบง่าย ภาษาและการอ่านการเขียน ความสำเร็จหรือความล้มเหลว การค้นพบความเลื่อนไหล วิชาการ หลักสูตร องค์ความรู้ กระบวนท่า มหาวิชา และความเป็นผู้นำ

โรงเรียนทำเอง เล่มนี้ น่าจะช่วยสะท้อน และผ่อนปรนการยึดมั่นต่อระบบการศึกษาทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียน หรือมหาวิทยาลัย ในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี

(อ้างอิง: สำนักพิมพ์เคล็ดไทย http://www.kledthaishopping.com)


วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2552

หนังสือน่าอ่านยิ่ง: นำอาหารกลับบ้าน

ชื่อหนังสือ นำอาหารกลับบ้าน
เขียนโดย เฮเลนา นอร์เบอร์ก-ฮอดจ์ และคณะ
มีจำหน่าย ณ วงน้ำชาขอนแก่น โทร. 091-974-0290 E-mail wongnamchakhonkaen@gmail.com

ปัจจุบันมีบรรษัทใหญ่ไม่กี่แห่งที่ควบคุมทิศทางอาหารของโลกอยู่ เฮเลนา นำผู้อ่านไปสู่ความเข้าใจกลไกการทำงานของบรรษัทข้ามชาติที่ทำให้ผู้ผลิตราย ย่อยของชุมชนท้องถิ่นทั่วโลกล่มสลาย ทั้งยังส่งผลกระทบทั้งทางสุขภาพ สังคมวัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม

ผู้บริโภคก็ถูกทำให้รู้สึกไร้พลังต่อรอง ไร้ทางเลือก ต้องยอมจำนนอยู่กับสิ่งเหล่านี้ แต่ด้วยการเห็นภาพรวมผ่านการถ่ายทอดจากผู้เขียน จะนำเราไปสู่บทสรุปของการ ?นำอาหารกลับบ้าน? ที่คนกินและคนผลิตมีส่วนร่วมกำหนดชะตากรรมได้อย่างแท้จริง
  • เฮเลนา นอร์เบอร์ก-ฮอดจ์ และคณะ เขียน / ไพโรจน์ ภูมิประดิษฐ์ แปล
    พิมพ์ครั้งที่ ๒ ราคา ๒๐๐ บาท สนพ. สวนเงินมีมา

จิตตปัญญาศึกษา การศึกษาเพื่อการพัฒนามนุษย​์

จิตตปัญญาศึกษา การศึกษาเพื่อการพัฒนามนุษย์
Contemplative education : education for human development

จัดทำโดย วิชาการ.คอม vichakarn.com


เป้าหมายที่แท้ของการศึกษา คือ การเปลี่ยนผู้เรียนจากผู้ไม่รู้ สู่ผู้รู้ และผู้เป็นที่เห็นได้จากการมีวิธีคิด จิตสำนึก ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อตอนที่ยังไม่รู้และเกิดพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปจาก เดิม แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายว่า การศึกษาที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนั้นสร้างผู้เรียนให้เป็นเพียงผู้จำล้วนเป็น เพียงการจำเพื่อไปสอบ สร้างให้ผู้เรียนมีสภาพเป็นตำราที่เดินได้ โดยไม่ได้นำเอากระบวนการ “การเปลี่ยนคน สร้างสรรค์สังคม” มาเป็นเป้าหมายสำคัญของการศึกษา



คำถามที่เกิดตามมา คือ หากการศึกษาที่เป้นอยู่ พาเราไปสู่ทางออกของปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ไม่ได้ หนำซ้ำกลับยิ่งสร้างปัญหาใหม่เพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ เพราะวิถีของการศึกษาในยุคปัจจุบันเป็นการศึกษาที่สร้างให้คิดแบบแยกส่วน หล่อหลอมให้คนมีจิตสำนึกการแข่งขัน และยึดเอาตนเอง หรือหมู่พวกของตนเป็นศูนย์กลาง


สารพันปัญหาที่มีดีกรีความรุนแรงระดับโลกที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ เช่น ภาวะโลกร้อนเป็นปัญหาสิ่งแวดลอม ในขณะที่วิกฤติแฮมเบอร์เป็นปัญหาเศรษฐกิจ ส่วนปัญหาความแตกต่างทางความคิดทางด้านการเมืองจนกลายเป็นความแตกแยกก็เป็น ปัญหาที่พบได้ทั้งในระดับประเทศ หรือในระดับบุคคล ก็ยังพบว่าคนในยุคนี้ “ทุกข์ง่าย สุขยาก” ทั้งนี้ล้วนเกิดขึ้นมาจากการที่บัจเจกบุคคลขาดสำนึกที่ดีง่าย และขาดซึ่งความตระหนักถึงภาวะหน้าที่ของตนที่มีต่อมวลมนุษย์และสรรพสิ่งใน ธรรมชาติ


ด้วยเหตุนี้ การเรียนเพื่อการเปลี่ยนแปลง (Transformative Learning) จึงเกิดขึ้นเพื่อผ่าทางตันให้กับปัญหาที่ดูเหมือนจะไร้ทางออก หากเรายังคิดและทำไปบนกระบวนทัศน์เดิม


การเรียนรู้ที่นำสู่การเปลี่ยนแปลง
หากมนุษย์สักคนมีความสุขอยู่กับการได้เสพวัตถุ และนึกอยู่แต่เพียงว่ามีวัตถุพรั่งพร้อมเป็นวิธีที่ทำให้เขามีความสุข เป้าหมายของการมีชีวิตอยู่ก็คือ การเสพสุขจากวัตถุไปเรื่อย ๆ ด้วยความหิวกระหาย และเมื่อใดก็ตามที่เขาหรือเธอคนนั้นฉุกคิดขึ้นมาว่าเกิดค้นพบว่า


ความจริงแล้ว “ชีวิตเราจักรวาลเป็นหนึ่งเดียวกันเมื่อหายใจเข้าจักรวาลทั้งหมดก็มาเชื่อม กับตัวเรา หายใจออกตัวเราก็ไปเชื่อมกับจักรวาลทั้งหมด” จะเกิดความรู้สึกนึกคิดใหม่อย่างสิ้นเชิง อย่างที่เรียกว่าจิตเปลี่ยน หรือบางคนเรียกว่าเกิดจิตสำนึกใหม่ (New Consciousness) มีความสุขอย่างลึกล้ำ มีพลังดื่มด่ำความงามในสรรพสิ่ง และมีความรักอันไพศาล... ในสภาพที่มีความสมบูรณ์เป็นตัวเองอย่างนี้ วัตถุนิยมบริโภคนิยมก็ยุติลง* (*จากหนังสือความเป็นมนุษย์กับการเข้าถึงสิ่งสูงสุด : ความจริง ความดี ความงาม. จัดพิมพ์โดยสถาบันพัฒนาและรับรองคุณภาพโรงพยาบาล)


กระบวนการศึกษาเพื่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจึงเน้นให้ผู้เรียนไปกับความจริง สูงสุด ที่เมื่อเข้าถึงแล้วจะก่อเกิดอิสรภาพความสุข ความรักเพื่อมนุษย์และธรรมชาติ อันเป็นไปเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างศานติ


การศึกษาเช่นนี้จึงเป็นการศึกษาที่ต้องพัฒนามนุษย์อย่างเป็นองค์รวม เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่ลึกซึ้ง และส่งผลต่อชีวิตด้านในของผู้เรียนจนกระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงผ่าน วิธีการหลักที่ใช้ คือ การสร้างความรู้เชิงประจักษ์ให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน จากการมีประสบการณ์ตรงด้วยการทำสมาธิและวิปัสสนาในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ การเรียนรู้ผ่านการฝึกฝนทางกาย เช่น ชี่กง โยคะ การเคลื่อนไหวร่างกายแบบต่าง ๆ การเรียนรู้ผ่านการทำงานศิลปะรูปแบบต่าง ๆ การใคร่ครวญทางความคิดโดยอาศัยประสบการณ์ที่ผ่านมาเป็นบทเรียน ตลอดจนการเข้าร่วมในประสบการณ์ต่างๆ ทางสังคมและในชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรม ที่ทำหน้าที่ในการเปลี่ยนผ่านขั้นตอนสำคัญในแต่ละช่วงชีวิตของทั้งบุคคลและ กลุ่มสังคมมาตั้งแต่ครั้งโบราณ



หากจะกล่าวโดยย่อแล้ว จิตตปัญญาศึกษา (Contemplative Education) คือหนึ่งในวิธีการเรียนรู้ที่นำผู้เรียนไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่มีลักษณะ พิเศษคือ มุ่งไปที่การพัฒนาชีวิตโดนการเปลี่ยนแปลงของสังคมและโลก จากรากฐานของการปฏิบัติและฝึกฝนจริง
จิตตปัญญาเพื่อการศึกษาทางรอด


แนวคิดเรื่องจิตปัญญาศึกษา เริ่มต้นขึ้นที่มหาวิทยาลัยนาโรปะ มลรัฐโคโลราโด ประเทศสหรัฐอเมริกา ในค.ศ. 1947 มหาวิทยาลัยแห่งนี้ก่อตั้งโดยเชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช ผู้นำจิตวิญญาณชาวทิเบต ที่มีอิทธิพลต่อการเผยแพร่ความรู้ด้านจิตวิญญาณให้แก่ชาวตะวันตก


มหาวิทยาลัยนาโรปะมีการจัดการศึกษาที่มุ่งเน้นไปที่การสืบค้นสำรวจภายใน ตนเอง การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ตรงและการรับฟังด้วยใจที่เปิดกว้าง ซึ่งจะนำไปสู่การตระหนักรู้การหยั่งรู้ ความเปิดกว้าง ความเคารพในความเป้นมนุษย์และการยอมรับในความแตกต่างหลากหลาย


อกจากที่มหาวิทยาลัยนาโรปะแล้วปัจจุบันยังมีสถาบันอุดมศึกษาที่มีปรัชญาและ พันธกิจของสถาบันในการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาจิตอยู่หลายแห่งด้วยกัน อาทิ Californin Institute of Integral Studies (CIS) ประเทศสหรัฐอเมริกา Budhist Tzu Chi University ประเทศไต้หวัน และ Sathya Institute of Higher Learning ประเทศอินเดีย


ในประเทศไทยได้มีการรวมตัวของภาคีเครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา อันเป็นการร่วมตัวอย่างไม่เป็นทางการของกลุ่มผู้สนใจในการเข้าร่วมหารือ เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนงานสร้างคนที่เป็นกำลังสำคัญในการให้ศึกษาตาม แนวทางจิตตปัญญาศึกษา กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาทั่วไปในหลักสูตรการศึกษาทุกประเภทและทุก ระดับ


สภามหาวิทยาลัยมหิดลจึงได้มีมติให้จัดตั้งศูนย์จิตตปัญญาศึกษาขึ้นใน มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 โดยมีพันธกิจในการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้และร่วมขับเคลื่อนกับภาคประชา สังคม ที่มุ่งเน้นการพัฒนาความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ รวมถึงการพัฒนากระบวนการและวิธีการเรียนรู้ด้านจิตตปัญญาศึกษา ทั้งในการจัดการเรียนการสอนในระดับบัณฑิตศึกษา การวิจัย และฝึกอบรม โดยร่วมมือกับสถาบันและองค์กรต่าง ๆ รวมถึงการพัฒนาสื่อและสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านจิตตปัญญาศึกษากับ องค์กร และหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ


เครือข่ายที่ทำงานด้านจิตตปัญญากลุ่มอื่น ๆ เช่นสถาบันการศึกษาสัตยาไส เสถียรธรรมสถาน สถาบันขวัญเมืองเสมสิกขลัย และสถาบันอาศรมศิลป์ เป็นต้น



รู้จิตของตนจนเกิดปัญญา
ก่อนหน้าการเกิดขึ้นของกระแส “การเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง (Transformtive Learning)” ในยุคเรานี้ อริยชนที่เกิดขึ้นมาบนโลกนี้ก่อนหน้าก็ได้เคยเฝ้าเพียรค้นหาหนทางแห่งการ เข้าสู่ความจริงแท้มาแล้วมากมาย และมรดกชิ้นนั้นก็ตกทอดมาถึงปัจจุบันในรูปศาสนธรรมของทุกศาสนา ที่ต่างก็ได้แสดงถึงวิ๔ในการเข้าถึงความจริงแท้เอาไว้อย่างหลากหลาย


การเข้าถึงความจริงแท้หรือสัจธรรม คือเป้าหมายในชีวิตของ “มนุษย์” ที่ยึดมั่นอยู่ในศาสนธรรมของตนบนโลกนี้ยึดถือการปฏิบัติมาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม กระแสของทุนนิยมมีความเชี่ยวกราดกว่ากระแสธรรม โลกจึงต้องพบกับความหายนะอย่างเช่นที่เป็นอยู่นี้ เพราะ “คน” บนโลกต่างพากันยึดเอาทุนนิยมที่ดำรงสภาพอยู่ได้ด้วยหิวกระหายในการบริโภคมา เป็นตัวตั้งความสุขที่เกิดจากการได้เสพ จึงเป็นจึงเป็นความสุขเดียวที่คนในยุคนี้รู้จัก


ส่วนความสุขที่เกิดขึ้นจากการไม่ปรุงแต่ง ที่ผุดขึ้นมาเอง เมื่อจิตอยู่ในภาวะปกติ เป็นความสุขที่ไม่ต้องอาศัยสิ่งเร้า และเป็นสื่อที่จะพาเราลัดตรงเข้าพบสัจธรรมที่ปรากฏอยู่ข้างในตนของมนุษย์ทุก คนอยู่แล้ว กลับกลายเป็นความสุขที่น้อยคนนักจะรู้จักและเข้าถึง


จิตตปัญญาศึกษาจึงเกิดขึ้นมาเพื่อเชื้อเชิญให้คนในยุคสมัยได้เข้าไปสัมผัส กับการเข้าถึงสิ่งสูงสุด หรือการเข้าถึงความจริง ความดี ความงาม เพื่อไปพบกับอิสรภาพ ความสุข และความรักอันไพศาล ที่พ้นไปจากการยึดเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางด้วย การเจริญสิตในรูปแบบต่าง ๆ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในข้างต้น ซึ่งคนในยุคนี้ห่างไกลจากการเข้าถึงความจริง ความดี ความงามจนอาจกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องที่ต้องการ “การปฏิวัติจิตสำนึก (Consciousness Revolution)” เลยทีเดียว


ศาสตราจารย์ นายแพทย์ประเวศ วะลี ได้กล่าวไว้ในปาฐกถาสวัสดิ์ สกุลไทย เรื่อง”มหาวิทยาลัยกับจิตตปัญญาศึกษาและไตรยางค์แห่งการศึกษา” ที่จัดขึ้นโดยสมาคมศิษย์เก่าบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2550 ดังมีความตอนหนึ่งว่า
“การเข้าถึงความจริง ความดี ความงาม เป็นการปฎิวัติจิตสำนึก... ท่านอาจเลือกศึกษาตามจริงที่แตกต่างกันตั้งแต่ง่ายไปหายาก ที่ง่ายที่สุดคือการนึกถึงคนอื่นหรือสิ่งอื่น หรือการมีความเมตตากรุณา


ความสุขที่เกิดขึ้นจากการไปปรุงแต่ง ที่ผุดขึ้นมาเองเมื่อจิตอยู่ในภาวะปกติ เป็นความสุขที่ไม่ต้องอาศัยสิ่งเร้า และเป็นสื่อที่จะพาเราลัดตรงเข้าถึงสัจธรรม ที่ปรากฏอยู่ในตนของมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว กลับกลายเป็นความสุขที่น้อยคนมักจะรู้จักและเข้าถึง


การนึกถึงสิ่งอื่นหรือและคนอื่นก็เป็นการออกจากมายาคติแห่งการเอาตัวเองเป็น ศูนย์กลาง เป็นการเข้าหาความจริงแล้วเพราะในความจริงมีคนอื่นและสิ่งอื่นด้วย ไม่ใช่มีแต่ตัวเรา


การนึกถึงคนอื่นและสิ่งอื่นก็เป็นความดีและความงาม การมีหัวใจเพื่อเพื่อนมนุษย์ และเป็นการก้าวไปสู่ความจริง คาวมดี ความงามแล้ว ซึ่งเราสามารถทำได้ด้วยประการต่าง ๆ ตามหน้าที่ของเรา แล้วก็เดินเข้าหาความจริงมากยิ่งขึ้นจนเข้าถุงความเป็นหนึ่งเดียวกันของ ทั้งหมด”


“ปรกติเราสัมผัสสิ่งต่าง ๆ ด้วยความคิด คือเรามีความคิดอะไรก่อนแล้ว (Preconception) รับรู้อะไรต่างๆ ตามความคิดขิงเรา ทำให้เข้าไม่ถึงความจริงตามธรรมชาติ ต่อเมื่อจิตสงบจากความคิดจึงจะสัมผัสความจริงตามที่เป็นอยู่จริงๆ ปราศจากการปรุงแต่ง (ด้วยความคิดของเรา) การมีสติรู้อยู่กับปัจจุบันทำให้จิตสงบจากความคิดปรุงแต่งโดยไม่รู่ตัว ทำให้สัมผัสความจริงได้ โลกที่เราสัมผัสด้วยตัวตนและความคิด กับโลกที่สัมผัสด้วยจิตที่สงบ มีสติ ต่างกันโดยสิ้นเชิง เรื่องนี้ทุกคนสามารถทกลองดูได้ด้วยตนเอง”


“การเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง” “จิตตปัญญา” “จิตสำนึกใหม่” จึงเป็นวาทกรรมที่นำให้คนในยุคปัจจุบันหันหน้าเข้าหาสัจธรรม ด้วยวิธีการที่สามารถเชื่อมโยงเอาคุณค่าของโลกวิชาการที่สอนให้คนชำนาญ เรื่องการคิดวิเคราะห์เรื่องนอกตัว ได้กลับเข้ามาหางานดูจิตซึ่งเป็นเรื่องข้างในตัวได้อย่างกลมกลืน เพื่อก้าวสู่หนทางแห่งความจริงและชีวิต ซึ่งต้องอาศัยการเรียนรู้ด้วยใจอย่างใคร่ครวญ และการเปลี่ยนแปลงที่สร้างอิสรภาพ ความสุข ความรักอันไพศาล ทั้งกับตน ผู้คนรอบข้าง ตลอดจนองค์กรและสังคมของมนุษยชาติ ที่สัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับธรรมชาติของจักรวาล



*หมายเหตุ งานเขียนชิ้นนี้ ได้รับการคุ้มครองสิทธิตามพระราชบัญญัติคุ้มครองสิทธิทางปัญญา โดยลิขสิทธิเป็นของผู้เขียน ที่ให้เกียรตินำเผยแพร่ผ่าน วิชาการ.คอม เรามีความยินดีและอนุญาตให้ทำซ้ำหรือเผยแพร่ต่อเพื่อประโยชน์ทางการศึกษาเท่านั้น กรุณาให้เกียรติผู้เขียน โดยอ้างชื่อผู้เขียนและ วิชาการ.คอม (www.vcharkarn.com) ทุกครั้งที่ทำการเผยแพร่ต่อ ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อในสื่อที่เอื้อประโยชน์ทางธุรกิจก่อนได้รับอนุญาต ขอขอบคุณที่ร่วมกันช่วยสร้างให้สังคมไทยเป็นสังคมแห่งปัญญา
Creative Commons License
สงวนสิทธิ์ภายใต้สัญญาอนุญาต ครีเอทีฟคอมมอนส์ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย.
ท่านสามารถนำเนื้อหาในส่วนบทความไปใช้ แสดง เผยแพร่ โดยต้องอ้างอิงที่มา ห้ามใช้เพื่อการค้าและห้ามดัดแปลง

วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552

สนทนากับกาน้ำชา ครั้งที่ ๒ วันที่ ๒๘ ส.ค. ๒๕๕๒ เวลา ๑๗.๐๐ น. ณ วงน้ำชาขอนแก่น

ครั้งที่ ๒ แล้ว วันนี้สมาชิกของเราไม่ค่อยจะเหมือนเดิมสักเท่าไหร่ เนื่องจากหลายคนติดธุระ แต่ไหนๆ ข้าพเจ้าก็จริงจังและชอบมากขนาดนี้ เลยตั้งตัวเองเป็นผู้ติดตาม บรรยายสถานการณ์ซะเลย

ต้องขออภัยล่วงหน้า เนื่องจากมือใหม่มากๆ เกรงว่าความสามารถในการฟัง จดจำ และตีความอาจจะไม่สมบูรณ์ครบถ้วน หรือแปลผิดไปจากความตั้งใจของผู้พูด ทั้งนี้มีหลายเหตุปัจจัย แต่อย่างไรก็ตาม จะพยายามมองในแง่ดีที่สุด และไม่ให้ต้องมีใครได้รับความเสียหายจากเนื้อความในนี้

กิจกรรมนี้จะให้ทุกคนเขียนคำถามอะไรก็ได้ ครั้งนี้คนละ ๒ ข้อ พับใส่กาน้ำชา แต่ละคนจับคำถามขึ้นมาให้ทุกคน ตอบ โดยมีข้อแม้ว่า ขณะที่คนอื่นกำลังพูด จะต้องตั้งใจฟัง สมาชิกวันนี้ได้แก่ อ.ดี ทิพย์ ผึ้ง เฮียลื้อ พี่ชิว พี่ย้ง พี่ยอด น้ำเต้า คำถามในวันนี้ มีดังนี้

"พรุ่งนี้ฝนจะตกมั้ย?"
อ่า...ฟังปุ๊บนึกในใจ 'ใครจะไปรู้' ที่นึกอย่างนี้เพราะไม่ได้มีความจำเป็นอะไรเลยเกี่ยวกับฝน แต่ผู้ถามอยากรู้เนื่องจากพรุ่งนี้ต้องเดินทาง คงจะดีถ้าเกิดพรุ่งนี้ท้องฟ้าแจ่มใสตลอดการเดินทาง ในแต่ละคนก็มีหลากหลายเหตุผล แต่ส่วนใหญ่จะตอบว่า ไม่รู้ ก็เนื่องจากว่าไม่มีใครรู้จริงๆ เป็นไปได้ทั้งนั้น

"ปีหน้าจะได้ทำโรงเรียนมั้ย?"
คำว่าโรงเรียน อาจเข้าใจไปในที่ต่างกัน แต่ก็น่าจะเป็นสิ่งที่วางแผนว่าจะทำ ถามว่าปีหน้าจะได้ทำมั้ย ถ้าวางแผนว่าจะทำก็คงได้ทำแน่นอน

"ทำไมต้องมีเรื่องลี้ลับบนโลกนี้ด้วย เช่น ตายแล้วไปไหน?"
พี่ย้งบอกว่า เรื่องลี้ลับจริงๆ แล้วไม่มีหรอก มีแต่เรื่องที่เราไม่รู้ เพราะไม่รู้ จึงลี้ลับ ถ้ารู้แล้วคงไม่ลี้ลับอีกต่อไป พี่ยอดพูดถึงกรอบความคิด (ไม่แน่ใจว่าใช่คำถามนี้มั้ย แต่พี่ยอดพูดถึงเรื่องนี้ในหลายคำถาม) เพราะว่าคนเรามีกรอบความคิดอยู่แล้ว จึงได้แปลสิ่งที่เห็นตามกรอบความคิดเดิมของตัวเอง

"อีก ๑๐ ปีข้างหน้าคิดว่าโลกของเราจะเป็นอย่างไร?"
คำตอบมีมากมายหลากหลาย อ.ดี บอกเกี่ยวกับข้อมูลที่น่าเป็นห่วงและควรจะตระหนักให้มากถึงวิกฤตที่โลกเรากำลังจะต้องเจอ พี่ชิวพูดถึงความเชื่อมั่นในสิ่งดีๆ ถ้าเราเชื่อว่าดี สิ่งดีๆ จะตามมา สำหรับข้าพเจ้าเองคิดว่า ก็ยากจะจินตนาการ เพราะ ๑๐ ปีที่แล้วก็ไม่เคยฝันถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ คงต้องรอดู เพราะ ๑๐ ปีก็แค่แปปๆ

"อะไรที่ง่ายที่สุดสำหรับชีวิต?"
เหมือน จะง่าย แต่ไม่ง่ายที่จะนึกออกเลย เพราะว่าคนเราจำแต่สิ่งที่ยาก และมันก็มีซะมากมาย เฮียลื้อตอบว่า ก็หายใจสิ เออ จริงด้วย น่าจะง่ายที่สุดแล้วนะ จำเป็นต่อชีวิตด้วย เหมือนไม่ได้ทำอะไร มีน้องตอบว่า ของไหล ไหลไปตามยถากรรม อาจจะง่ายตอนนี้ แต่ยากทีหลัง

"ปรับหรือเปลี่ยน สิ่งไหนเราควรทำเมื่อต้องอยู่กับคนรอบข้าง?"
ข้อนี้ผู้เขียนคำถามจับได้เอง จึงได้ตอบเป็นคนแรก และดูเหมือนจะได้ข้อสรุปเองแล้ว นั่นคือ ควรจะปรับมากกว่า แต่ไม่ว่ายังงัยก็ยังสงสัยในคำนิยามของทั้ง ๒ คำ คือ ปรับ และ เปลี่ยน ปรับบางทีอาจจะคือเปลี่ยนก็ได้มั้ง แต่คงไม่มากเท่าไหร่ แต่ไม่ว่ายังงัยก็แล้วแต่ อ.ดี ให้ใช้ความเข้าใจบุคคลมากกว่า ถ้าเราเข้าใจเค้า เข้าใจเหตุผลของเค้า เราก็จะไม่โกรธเค้า พร้อมทั้งยกตัวอย่างในการได้ไปคุยกับผู้ที่มีอาชีพบางอย่างที่เรามองว่าไม่ดี (ที่เขียนอย่างนี้เพราะไม่อยากจำกัดเฉพาะบางอาชีพ แต่อยากให้หมายถึงทุกอาชีพที่แต่ละคนมองไม่ดี อย่างข้าพเจ้าเฉยๆ กับอาชีพขายบริการ แต่ไม่ชอบคนที่ทำอาชีพฆ่าสัตว์) ซึ่งเค้าก็คงมีเหตุผลส่วนตัวของเค้า ถ้าเราเข้าใจเค้า เราก็อาจเปลี่ยนมุมมองและการกระทำต่อเค้าได้

"มีวิธีหรือเทคนิคอะไรบ้างที่จะทำให้มีสติตลอดเวลา แล้วก็สามารถบังคับตัวเองได้?"
อยากขอบคุณคนถามจังซึ่งข้าพเจ้าก็อยากรู้เหมือนกัน แต่ละคนก็มีเทคนิคต่างๆ กัน วันนี้ได้มาหลายเทคนิคเลย แต่ไม่ว่ายังงัย บางเทคนิคก็อาจใช้ได้ดีกับเฉพาะบางคน ให้หาเทคนิคที่เข้ากับเราที่สุด

สุดท้าย "แต่ละวันมีความหมายอย่างไร?"
ความหมายของแต่ละคนไม่เหมือนกันเลย อาจจะเป็นด้วยเหตุผลและความรู้สึกส่วนตัวที่เผชิญ แตกต่างกัน ต่างคนต่างก็มีสิ่งสำคัญไม่เหมือนกัน นี่ละมั้ง ข้าพเจ้าถึงได้มาเรียนรู้หลายๆ มุมมอง

คำถามครั้งนี้หนักกว่าครั้งที่แล้วมากๆ อาจจะขึ้นอยู่กับผู้ร่วมวง แต่ก็น่าคิดว่า คำถามมันดึงดูดพวกเดียวกันหรือป่าว เพราะที่ข้าพเจ้าตั้ง ไม่ใช่แนวนี้เลยไม่ได้ถูกจับขึ้นมา

แต่ละครั้งก็มีเหมือนกันความเป็นวงนั้นๆ เองซึ่งไม่เหมือนกัน ที่ข้าพเจ้าชอบเนื่องจากจะได้ฟังและแสดงความคิดของตัวเอง การได้มาฟังมุมมองของคนอื่นทำให้เราได้คิดในสิ่งที่ไม่เคยคิดมาก่อน หรืออาจจะเคยลืมไป ที่ อ.เป็ดบอกว่าคนอื่นเหมือนเป็นกระจกเงาส่องตัวเอง เราจะเห็นตัวเองในคนอื่น หรือบางที คนที่เราคุยด้วยทุกวัน ในวันนี้ก็ได้รู้จักอีกด้านหนึ่งซึ่งเราไม่เคยเห็นมาก่อนก็ได้ ขอเพียงแต่ลองฟังอย่างตั้งใจ และไม่ตัดสิน ก็น่าจะที่จะช่วยพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นได้ สิ่งที่สังเกตได้ในช่วงแรกๆ ไม่ว่าใครก็ยังไม่มีสมาธิอยู่กับวง แต่พอผ่านไปสักพัก จะเริ่มนิ่งและตั้งใจฟังมากขึ้น ในวันนี้ยอมรับว่า ยังมีอีกหลายความคิดดีๆ ที่จำไม่หมด และครั้งนี้ข้าพเจ้ามีความคาดหวัง ซึ่งตั้งใจจะตอบมาก ทำให้ฟังได้น้อย เนื่องจากคอยคิดอยู่เสมอว่าจะตอบแบบไหน บางทีก็ต้องคอยเตือนตัวเองให้อยู่กับปัจจุบันบ่อยๆ ทีหลังขอแก้ตัวว่าจะฟังให้มากขึ้น ขออภัยที่เขียนยาวและลงรายละเอียด (ที่ไม่ค่อยละเอียด) แค่อยากจะบันทึกเอาไว้ เผื่อวันหลังจะได้กลับมารำลึกถึง บางข้อก็ไม่ค่อยเข้าใจ อาจจะเป็นที่วัยและประสบการณ์ แต่เชื่อว่า พอถึงจุดๆ หนึ่งที่ทุกอย่างพร้อม น่าจะเข้าใจอย่างกระจ่างได้

บทความรจนาโดยคุณทิพย์ วงน้ำชาขอนแก่่น วันที่ ๑ ส.ค. ๒๕๕๒

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552

พบน้ำใจ ที่วงน้ำชา กับ ภาษาหนังสือ บทความจากคุณ Numalee

ต้องขอขอบพระคุณ คุณ Numalee ที่ได้กรุณาบันทึกและเขียนเรื่องราวที่ดีๆ เกี่ยวกับกิจกรรมที่จัดในพื้นที่วงน้ำชา (หน้าชีวาทิพย์สปา จังหวัดขอนแก่น)

สมาชิกวงนำ้ชาขอนแก่นจึงขออนุญาตแบบไม่เป็นทางการเอามานำเสนอในพื้นที่ของวงน้ำชาแห่งนี้และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้ท่านอื่นๆ ได้ขยายผลการเรียนรู้เช่นนี้ออกไปเรื่อยๆ มีวงน้ำชาอยู่
ทุกๆ ที่ การเรียนรู้ตลอดชีวิตของเราจะได้เกิดขึ้นอย่างไม่รู้จบสิ้น

สันติ สติและการเรียนรู้
สมาชิกวงน้ำชา

อ้างอิง http://www.oknation.net/blog/esanwriter/2009/08/21/entry-1
ผู้เขียน คุณ Numalee email : numalee101@hotmail.com
::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

วันศุกร์ ที่ 21 สิงหาคม 2552
พบน้ำใจ ที่วงน้ำชา กับ ภาษาหนังสือ
Posted by numalee , ผู้อ่าน : 67 , 11:14:17 น.
หมวด : วรรณกรรม/กาพย์กลอน

พิมพ์หน้านี้


มุม เล็กๆ ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าของ "ชีวาทิพย์สปา" ริมบึงแก่นนคร เมืองขอนแก่น ที่นี่มีห้องเล็กๆ ที่มีคนเล็กๆ หลายคนมาร่วมทำกิจกรรม "วงน้ำชา วงน้ำใจ" ที่มีการจัดกิจกรรม "เสวนา"กันอยู่เนืองๆ ทั้งกิจกรรมทาง ศิลปะ อ่าน เขียน ฝึกสมอง ประลองฝีมือ นานาประการ

แม้ วงน้ำชาแห่งนี้ เพิ่งจะเกิดขึ้นได้ไม่นาน แต่ก็เป็นที่กล่าวขานของคนที่มีโอกาสมาพบเจอ เพราะเป็นมุมสบาย ที่มีหนังสือดีๆ หายากให้อ่าน ให้เลือกซื้อแล้ว ที่นี่ยังมีน้ำชาอร่อยๆ ที่หากินได้ไม่ง่ายนักไว้คอยบริการโดยไม่คิดสตังค์ แต่หากใครมีน้ำใจก็หยิบยื่นลงกล่องเพื่อบริจาคร่วมกันได้

และ วงเสวนา "BOOK CLUB" (กำลังหาชื่อภาษาไทย ใครสนใจร่วมแสดงความคิดเห็นและตั้งชื่อได้) ที่ก่อตั้งกันแบบไม่เป็นทางการ ก็ได้เกิดขึ้นที่นี่เช่นกัน เกิดขึ้นเพราะคนที่รักการอ่านหนังสือ อยากจะมีเวทีที่ได้พูดคุย แลกเปลี่ยน และเรียนรู้ถึงความชอบ ความรัก ของคนที่รักหนังสือเช่นกัน

และเมื่อวันที่ 2 สิงหาคมที่ผ่านมา เป็นครั้งแรกที่ "BOOK CLUB" ได้มีโอกาสนัดรวมพลกัน โดยมีเกณฑ์ว่า คนที่มาจะต้องถือหนังสือที่ตัวเองรัก และ ชอบอ่านมากที่สุด เรียกว่าเป็นหนังสือในดวงใจ มาคนละ 1 เล่ม พร้อมกับบอกเล่าถึงเหตุผลที่ตัวเองชอบให้เพื่อนฟัง

ซึ่งแต่ละคนก็ หยิบหนังสือที่ชอบติดมือมา พร้อมบอกเล่าความในใจอย่างอิ่มเอม พร้อมดวงตาที่อิ่มสุข เนื่องจากไม่ค่อยมีโอกาสมากนัก ที่จะมีเวทีเสวนา ที่เปิดโอกาสให้ใครสักคนมาพูดคุยถึงเรื่องราวของหนังสือที่เขาชอบอ่าน

ลุงตุ๊ หยิบหนังสือ "จิตว่าง"ของท่านพุทธทาสภิกขุมาบอก

เฮียลื้อ หยิบ "ต้นทางที่มะละแหม่ง"ขององค์ บรรจุน มาเล่า

คุณดี หยิบ สิทธิธัตถะ ฉบับภาษาอังกฤษ มาบรรยาย

พี่เด หยิบหนังสือธรรมะเล่มโปรดมาเสนอแนะ

คุณน้อย ชอบเล่มเดียวกับพี่เด

คุณหน่อย หยิบ "อ่านหนังสือเล่มนี้เถอะที่รัก"มาเล่าความในใจให้ฟัง

น้องพฤกษ์ หยิบ ไล่ตงจิ้น มาบอกเล่า ฯลฯ

หลังจบเวที สมาชิกทุกคน แลกหนังสือกันอ่าน โดยมีเวลานัดหมายว่า ครั้งต่อไป ให้สมาชิกเอาหนังสือที่แลกกันอ่าน กลับมาคืนกันอีกครั้ง

แล้วครั้งที่ 2 ก็เริ่มขึ้นอีก เมื่อวันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม ที่ผ่านมา โดยนัดนี้มีสมาชิกมาเพิ่มอีกหลายคน

พี่ตึ๋ง ที่พาน้องเชนทร์ และ ภรรยาสาวสวย คุณกุ้ง มาบอกว่า ชอบวรรณกรรมเยาวชน บ้านเล็กในป่าใหญ่

พี่เล็ก ทนายสาวบอก ชอบหนังสือธรรมะ และอยากจะพิมพ์เผยแพร่

พี่กุ้ง แห่งเคหะ บอก ชอบธรรมะเช่นกัน และกลังปฏิบัติธรรมอยู่

อ.เรียว จาก มข.หยิบ "ทะเลน้ำนม"ของชัชวาลย์ โคตรสงคราม มาบอกเล่า ทำให้หลายคนอยากอ่านบ้าง

พี่จิ๊บ แห่งตึกคอม (คอมพิวเตอร์ มข.)บอกชอบ วิถีแห่งเต๋ม ปล่อยวางอย่างเซน และจิตว่าง ของท่านพุทธทาส

น้องอิม คนสวย ชอบ คนรักของความเศร้า ผลงาน อังคาร จันทาทิพย์

คุณเอิร์ท บอกชอบ เพียงผ่านพบ ไม่ผูกพัน ของ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล พร้อมเรื่องประทับใจ "ชอบผมได้นะ แต่อย่าเป็นเหมือนผม"

หลัง จบการพูดคุย ของคนที่มีหัวใจเดียวกัน ความเต็มอิ่ม และ ความสุขปรากฎขึ้นเต็มใบหน้า ก่อนลาจากกันอีกวัน เรานัดหมายพบกันอีกที ในวันเสาร์ที่ 29 สิงหาคมนี้ ในอารมณ์ของบทกวี "วรรคทองในหัวใจ" ที่หลายคนอาจจะมีวรรคทองที่ฝังในใจ และใช้เป็นคำสอนตนเองอยู่เสมอ แต่ไม่มีโอกาสได้บอกเล่าให้ใครฟัง

ใครสนใจ อยากจะร่วมบรรยากาศพูดคุยแบบภาษาหนังสือ ภาษากวี ก็เชิญมาร่วมพูดคุย ถ่ายทอด ร่วมกันได้ที่นี่ ตั้งแต่เวลา 17.30 น.เป็นต้นไป และในวันนี้ ยังจะมีโอกาสดี จะได้ฟังการอ่านบทกวีของ "อรอาร อุษาสาง" นักเขียนรุ่นใหม่ ที่เพิ่งคลอดผลงานรวมเล่มบทกวี "บนพื้นผิวแผ่นดินที่กำลังแตกกระจาย"ด้วย

หวังว่าคนรักหนังสือคงไม่พลาดที่จะพบเจอกันที่นี่ ....


อ่านความคิดเห็น

ความคิดเห็นที่ 4
ยโสธรโพนทัน วันที่ : 25/08/2009 เวลา : 12.21 น.
http://www.oknation.net/blog/sanya



สบายดี
ความคิดเห็นที่ 3
tatuk วันที่ : 23/08/2009 เวลา : 21.08 น.
http://www.oknation.net/blog/tatuk
หวังรักอุ่นนิรันดร์ รักเรียบง่ายแต่งดงาม...



นักเขียนสนใจพบปะนักอ่านเสมอ
เพียงแต่ไม่ค่อยมีใครจัดเวทีให้นำเสนอผลงานนัก
ขอบคุณที่เปิดโอกาสให้ อรอาย อุษาสาง ได้ร่ายรำคำกวีแถวนั้น


ความคิดเห็นที่ 2
กลองไท วันที่ : 21/08/2009 เวลา : 20.29 น.
http://www.oknation.net/blog/kraitong
ไทนาหว้า



แวะมาชื่นชมกิจกรรมดีๆครับ
ความคิดเห็นที่ 1
ลูกเสือหมายเลข9 วันที่ : 21/08/2009 เวลา : 11.18 น.
http://www.oknation.net/blog/chai
<<==แวะไปทัก..แล้วคุณจะรักหนุ่มคนนี้



มาออกความเห็นนิดหนุ่งนะครับ
ผมอ่านพบเสมอ และเชื่อมาตลอด ว่านักประพันธ์ เป็นกลุ่มคนที่พบปะแลกเปลี่ยนความคิดกันมากที่สุด
มากกว่านักแสดง นักดนตรี
แต่ทำไมไม่เคย"แปร"ผลการพบปะออกมาเป็น"รูปธรรม"เพื่อขยายวงการอ่านหนังสือ ..

นักเขียนก็มีแฟนคลับนะครับ
แต่ทำไมคนอ่านหนังสือในเมืองไทยไม่เพิ่มขึ้น
คนที่เป็นนักเขียนไม่สนใจประเด็นนี้เหรอ

วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สนทนากับกาน้ำชา ครั้งที่ ๑ วันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๒

ที่วงน้ำชา เย็นวันนี้ เราได้โอกาสเหมาะมานั้งจิบชา ชมแสงอาทิตย์ยามเย็นรอบบึงแก่นนคร พวกเรานั่งสนทนากันอยากเริงใจเป็นอย่างไรก็เลยมาลองหาคำตอบกัน...

ย้อนไปเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว มีชาวต่างชาติคือคุณ Kristine (ชาวสหรัฐฯ) ได้แวะมาที่วงนำ้ชา เราคุยกันถึงกิจกรรมและการพูดคุยกันอย่างออกรส ตบท้ายเธอได้เล่าให้เราฟังว่า เธอเคยเข้าร่วมกิจกรรมการสนทนาชนิดหนึ่ง คือการที่ให้ทุกคนเขียนคำถามอะไรก็ได้ขึ้นมา
คนละ ๓-๕ คำถาม ในแผ่นกระดาษ แผ่นเล็กๆ แล้วก็ให้ผู้คนที่เข้าร่วมกิจกรรมได้จับฉลากนั้นขึ้นมาทีละใบ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้ลองตอบคำถาม โดยมีเงื่อนไขว่า ถ้าเกิดคำถามใดโดนใจก็จะตอบ ถ้าเกิดว่ารู้สึกไม่อยากตอบก็ไม่ต้องตอบและจะให้โอกาสให้มีคนพูดครั้งละหนึ่งคน โดยที่เหลือก็ฟังอย่างตั้งใจ จะโต้ตอบบ้าง หรือถามเสริมต่อก็ได้ไม่เป็นไร แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นต้องเคารพสิทธิผู้ตอบคำถามหรือผู้ถูกถามว่าจะตอบหรือไม่ตอบก็ได้

เมื่อวงน้ำชาได้ฟังก็เลยเกิดความคิดว่าน่าจะลองทำกิจกรรมการสนทนานี้ดู
ฟังแล้วเหมือนไม่มีอะไร แต่พ่อคำถามแรกถูกถาม ก็เกิดการสนทนาอย่างออกรสออกชาด
พวกเรานั้งล้อมวงคุยกันไป จิบน้ำชาไป ตั้งแต่หกโมงเย็น มารู้ตัวอีกทีก็ ๔ ทุ่มแล้ว

นี้เป็นตัวอย่างความรู้สึกของพี่ๆ น้องๆ ที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมการสนทนากับกาน้ำชาในครั้งนี้
*ครั้งนี้เรามีคนเข้าร่วมกันอยู่ ๘-๑๐ คน

"ผู้คนเพ่นพ่านละลานตา คุณค่าในตัวแตกต่าง
ดีเลวปะปนระคนบ้าง เปิดใจปล่อยวางร่วมทางกัน" จากคุณ Nilita

"การเรียนรู้ที่ไม่มีวันสิ้นสุดคือการที่เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองและผู้อื่นอย่างลึกซึ้ง
หากใช่การเรียนรู้ทางด้านวิชาการอันจะทำให้เราวิ่งตามสิ่งที่มีคนเขารู้กันอยู่แล้ว" พีุ่เป็ด

"ความรู้สึกในตอนนี้ที่ได้มาตอนแรกๆ รู้สึกแปลกในกิจกรรมนี้ แต่พอนั่งฟังคนอื่นตอบคำถาม
เราก็ได้รู้ความคิดและมุมมองที่บางอย่างก็เหมือนกับเราแต่บางอย่างที่เราคิดไม่ถึงก็มี
ทำให้เราได้เปิดในมุมมองใหม่ๆ ครับ"

"การบำบัด การเพิ่มพลัง การย้อนสู่อดีต การภาวนา การสบตาตั้งใจฟัง การเติบโต
การอดทน การรอคอย การใคร่ครวญ การพัฒนาฯลฯ ทุกสิ่งเกิดมาจากวงน้ำชา"
วันที่ ๒๑ ส.ค. ๕๒ ขอพลังสติจงอยู่กับท่าน จากคุณสอยอ

"วงน้ำชา" คุณรู้จักหรือเปล่า ผมหน่ะมาเพราะจำการปลดปล่อย ส่ิงที่เป็นตัวเรา สิ่งที่เป็นคนอื่น
ทุกคนไม่มีเรื่องปิดบังกัน ทุกคนมีอิสระภาพเป็นอย่างมาก เลยครับ ที่ผมอยากบอกก็คือ
มาบอกเล่าความเป็นคุณ มันจะสนุกมากเลยน่ะ เรามีเพื่อนต่างวัยมากเลย และคุณจะพบกับส่ิงดีๆ"
จากคุณกง

"Ah! I am frustrated...I wish I can understand Thai so I can understand everyone's stories.
How can I understand? How can I learned? Help me, but in the end, I leave with a smile. :)" JT

"ขอบคุณวงน้ำชามากๆ ค่ะ ที่เป็นสถานที่ให้ได้เรียนรู้ชีวิตและมุมมองที่หลากหลายที่ได้รับในวันนี้
อยากให้มีแบบนี้อีกน่ะค่ะ"

"เหนื่อยมาก แต่หายเหนื่อยแล้ว ขอบคุณทุกคนมากๆ" หมอแจ็ค

*ภาพบรรยากาศวงสนทนากับกาน้ำชา






















































ตบท้ายเราก็เลยรู้สึกร่วมกันว่าจะจัดการสนทนาแบบนี้ หรือกิจกรรมการพูดคุยในลักษณะเช่นนี้ในทุกๆ วันศุกร์ ตั้งแต่เวลา ๑๗.๐๐ น. เป็นต้นไป หากท่านสนใจและอยากค้นตนเองและเรียนรู้จากผู้อื่น
ขอเชิญมาร่วมกิจกรรมนี้ได้ที่วงน้ำชาขอนแก่น(หน้าชีวาทิพย์สปา) ร้านเปิดวันอังคารถึงศุกร์ ตั้งแต่เวลา ๑๖.๐๐ น. หรือ ๑๗.๐๐ น. ถึง ๒๒.๐๐ น.และวันเสาร์-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา ๑๓.๐๐ น. ถึง ๒๒.๐๐ น.



หรือหากว่าท่านสนใจที่จะพาเราทำกิจกรรมในลักษณะเดียวกันแต่รูปแบบอื่นๆ ก็สามารถติดต่อเรา
เพื่อแสดงความจำนงค์ในการจัดเวทีได้เช่นกัน ที่ e-mail: wongnamchakhonkaen@gmail.com
หรือโทร. ๐๘๑-๙๗๔-๐๒๙๐ (คุณดี), ๐๘๕-๔๙๖-๖๖๙๖ (คุณเป็ด), ๐๘๕-๐๐๕-๑๕๕๔ (คุณสอยอ)

วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สุนทรียสนทนากับอาจารย์วิศิษฐ์ วังวิญญูู บ่ายวันศุกร์ที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๒ ณ วงน้ำชาขอนแก่น


อาจารย์วิศิษ์ วังวิญญู: กระบวนกรประจำงาน

ประวัติ วิศิษฐ์ วังวิญญู วิศิษฐ์ เป็นนักคิดนักเขียนอิสระ เติบโตมาในยุคความตื่นตัวทางการบ้านการเมืองของนักศึกษามหาวิทยาลัย ตัดสินใจออกจากบ้านชนชั้นกลางอันอบอุ่น และมหาวิทยาลัยสองแห่งคือมหิดลและธรรมศาสตร์ เพื่อมาหาความหมายของชีวิตด้วยตัวเอง แปลหนังสือ เขียนหนังสือในเรื่องราวของการแสวงหาใหม่ ๆ ทั้งทางปรัชญาและการศึกษา ด้วยประสบการณ์อันแหวกแนว นอกจากนี้ ยังมีชั่วโมงบินทางงานบริหารจัดการทางองค์กรธุรกิจ ไม่ต่ำกว่าสิบปี ล่าสุดทำงานเป็นกระบวนกร หรือวิทยากรกระบวนการ เพื่อก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นสมุหภาพ อยู่ในแนวหน้าของพรมแดนความรู้ของกระบวนทัศน์ใหม่ทางวิทยาศาสตร์อีกคนหนึ่ง ผลงานอื่น ๆ ของเขาได้แก่ งานแปล บทละครทางกลับคือการเดินทางต่อของ ติช นัท ฮันห์ (แปลร่วมกับ สันติสุข โสภณสิริ) แผนที่คนทุกข์ อี เอฟ ชูมากเกอร์ เสรีภาพไม่ใช่การตามใจ เอ เอส นีล (แปลร่วมกับ สมบัติ พิศสะอาด) การศึกษาเพื่อความเป็นไท อดัมเคิล ดวงตะวัน ดวงใจฉัน ติช นัท ฮันห์ จิตที่แปรเปลี่ยน สมเด็จ องค์ทะไลลามะ กล้าฝัน เพื่อมนุษยชาติ สมเด็จ องค์ทะไลลามะ โยงใยที่ซ่อนเร้น ฟริตจอบ คราปา งานเขียน มณฑลแห่งพลัง สุนทรียสนทนา โฮมเมดสกูล คู่มือกระบวนกร (เขียนร่วมกับหมอวิธาน ฐานะวุฑฒ์ และณัฐฬส วังวิญญู) เดินทะลุกำแพง การปฏิวัติในถ้วยน้ำชา

บทสรุปจากการเข้าร่วมสนทนา ณ วงน้ำชาขอนแก่น โดยมีอาจารย์วิศิษฐ์ เป็นกระบวนกรหลัก


***หมายเหตุ: สรุปบทเรียนโดยครูสอยอ อาสาสมัครที่วงน้ำชาขอนแก่น
*****กรุณาคลิกที่ภาพหากต้องการอ่านรายละเอียด*****


*ภาพที่ ๑: บรรยากาศการสนทนาภายในงาน

**ภาพที่ ๒: ตั้งวงคุยกันและฟังด้วยใจอย่างใคร่ครวญ

*ภาพที่ ๓: ผู้เข้าร่วมการเสวนามาจากหลากหลายสาขาอาชีพ

*ภาพที่ ๔: อาจารย์วิศิษฐ์ สรุปบทเรียนและบอกเล่าเรื่องราว

*หมายเหตุ: หากท่านทั้งหลายมีความสนใจที่จะจัดวงพูดคุยและสนทนาอย่างสร้างสรรค์โดยที่จะใช้พื้นที่ ณ วงน้ำชา ท่านสามารถติดต่อได้ที่ โทร. ๐๘๑-๙๗๔-๐๒๙๐ (คุณอดิศักดิ์), ๐๘๕-๔๙๖-๖๖๙๖ (คุณเป็ด), ๐๘๕-๐๐๕-๑๕๕๔ (คุณสอยอ) หรือที่อีเมลย์ wongnamchakhonkaen@gmail.com

ศิลปะและสัจธรรมในรส “ชา” โดยพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล


ปาจารยสาร เมษายน ๒๕๕๒

ศิลปะและสัจธรรมในรส “ชา
พระไพศาล วิสาโล


ตั้งแต่ เล็กข้าพเจ้าเป็นคนที่ไม่ค่อยสนใจศิลปะเท่าไร ประสบการณ์ทางศิลปะส่วนใหญ่ก็จำกัดอยู่แต่ในห้องเรียนในชั่วโมงศิลปะและ ดนตรี พยายามวาดให้เหมือนอย่างที่ครูสอนและร้องเพลงอย่างที่ครูแนะนำ เวลาอยู่นอกห้องเรียนถ้าจะได้ฟังเพลงส่วนใหญ่ก็จากวิทยุหรือเครื่องเล่นแผ่น เสียงที่พี่ชายเปิดทุกเย็น หากจะมีอะไรที่ใกล้เคียงศิลปะอยู่บ้างในความรู้สึกของตัวเอง นั่นก็คือฟุตบอล เวลาดูหรือเล่นฟุตบอล จะได้เห็นความงดงามจากลีลาการเล่น ฟุตบอลเป็นความสวยงามที่ดึงดูดใจตนเองมากทั้งในฐานะผู้ดูและผู้เล่น

อย่างไร ก็ตามความเปลี่ยนแปลงได้เกิดขึ้นเมื่อหันมาสนใจความงามในวรรณกรรมและ ธรรมชาติ ผู้ที่เป็นสะพานนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวคือพจนา จันทรสันติ ตอนนั้นเขาเริ่มแปล “เต๋า”เป็นภาษาไทย แม้จะไม่ค่อยเข้าใจงานของเหลาจื๊อมากนัก แต่เมื่อได้อ่านงานแปลของพจนาก็เริ่มสัมผัสถึงความงามในถ้อยคำและธรรมชาติ ยิ่งได้มีเวลาช่วงหนึ่งออกค่ายในบริเวณอุทยานแห่งชาติกับพจนา ก็ได้เรียนรู้ที่จะใช้ใจในการรับรู้ธรรมชาติและสรรพสิ่ง นอกเหนือจากการใช้ความคิดและเหตุผล ประสบการณ์ดังกล่าวทำให้จิตใจละเอียดอ่อนมากขึ้น

ช่วงที่หันมาสนใจศิลปะอย่างจริงจังก็เมื่อได้ไปใช้ชีวิตช่วงหนึ่งในกรุงปารีส ทั้งเมืองเต็มไปด้วยศิลปะ สามารถสัมผัสได้ตลอดเวลาที่อยู่บนท้องถนน เพราะปารีสมีสถาปัตยกรรมที่สวยงามมากทั้งเมือง ยิ่งได้มีโอกาสไปชมงานศิลปะตามพิพิธภัณฑ์ชั้นนำ โดยเฉพาะลูฟว์ ก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจ และใกล้ชิดกับศิลปะมากขึ้น ช่วงเวลา ๓-๔ เดือนที่นั่นเป็นโอกาสแห่งการเรียนรู้ทางด้านศิลปะ แม้จะไม่ลึกซึ้งก็ตาม

เมื่อ ได้มาบวชอยู่ในวัดป่า การอยู่ท่ามกลางป่าที่เงียบสงบ ก็ทำให้จิตใจละเอียดอ่อนมากขึ้น เข้าใจสิ่งที่เรียกว่าความสุขอันประณีต ซึ่งสามารถเกิดจากใจที่สงบ จากธรรมชาติที่วิเวก หรือจากงานศิลปะที่ลุ่มลึกก็ได้ แต่จะว่าไปแล้วหากจิตละเอียดเพียงพอ ก็สามารถเห็นความงดงามได้จากสิ่งสามัญทั้งหลายที่อยู่รอบตัว งานศิลปะชั้นนำเป็นอันมากก็เกิดจากวาบแห่งความงามจากสิ่งธรรมดาสามัญนั่นเอง

ศิลปะและสุนทรียภาพสามารถมีอิทธิพลต่อจิตใจของคนเราได้หลายระดับ ระดับแรกคือความติดใคร่ใฝ่หา เป็นความรู้สึกอยากชิดใกล้ อยากได้หรืออยากครอบครอง (พุทธศาสนาเรียกว่าราคะ) ระดับต่อมาคือความรู้สึกดื่มด่ำ ปีติ สูงขึ้นมาอีกคือความสงบ และสูงที่สุดคือความรู้สึกแบบ transcendence หรือภาวะที่เหนือสามัญ เป็นสภาวะที่จิตได้สัมผัสกับความจริงขั้นสูงสุดหรืปรมัตถ์ เช่น ความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติและจักรวาล สภาวะที่อัตตาตัวตนได้เลือนหาย ไม่มีเส้นแบ่งระหว่างฉันกับโลกอีกต่อไป อยู่เหนือบัญญัติหรือความจริงแบบทวินิยม (dualism) เป็นสภาวะที่จิตเปี่ยมด้วยเมตตากรุณาอย่างไม่มีประมาณ

มองในแง่นี้ศิลปะมิใช่ตรงข้ามกับศาสนา แต่สามารถเป็นสื่อนำผู้คนเข้าถึงมิติที่ลึกซึ้งสูงสุดในทางศาสนธรรมได้ เซนเป็นตัวอย่างหนึ่งที่เชื่อมศิลปะเข้ากับการขัดเกลาทางจิตวิญญาณได้ อาทิ ศิลปะการชงชา ซึ่งดูเผิน ๆ เป็นเรื่องของพิธีกรรมที่ซับซ้อน แต่ที่จริงเป็นกระบวนการกล่อมเกลาจิต ตั้งแต่ระดับพื้น ๆ คือ การได้สัมผัสกับความงามและรสชาติทางผัสสะ ไปจนถึงการน้อมใจให้สงบ และเข้าถึงความจริงที่เหนือสมมติ

เริ่มแรกก็คือ การดื่มชามัทชะมิใช่เป็นแค่การเสพรสชาเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสที่จะได้ชื่นชมความงามของถ้วยชา ทั้งด้วยสายตาและสัมผัส รูปลักษณ์ เส้นสี และพื้นผิวของถ้วยชานั้นเป็นผลงานศิลปะที่จรรโลงใจ และให้ความรู้สึกละเมียดละไมไม่แพ้รสชา

จะว่าไปแล้วความสุขจากชานั้นเกิดขึ้นก่อนที่จะได้ดื่มชาเสียอีก เพราะกระบวนการก่อนหน้านั้นสามารถให้ประสบการณ์ที่ดีแก่จิตใจได้

พิธีชงชาที่สมบูรณ์แบบจะมีขึ้นได้ก็เฉพาะในห้องหรือในเรือนหลังเล็ก ๆ ที่เรียบง่ายไร้สิ่งประดับประดา ซึ่งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ การชงชาจะเป็นไปอย่างเชื่องช้า เริ่มตั้งแต่ทำความสะอาดภาชนะได้แก่ ถ้วยชา ช้อนตักผงชา ไม้กวนน้ำชา ล้างด้วยน้ำแล้วเช็ดด้วยผ้า จากนั้นจึงใส่ผงชา เติมน้ำร้อน แล้วกวนน้ำชาจนแตกเป็นฟอง แล้วจึงนำมามอบให้แก่อาคันตุกะ ขั้นตอนทั้งหมดนี้จะได้ชามาเพียงถ้วยเดียวเท่านั้น หากผู้ร่วมพิธีมี ๑๐ คน ก็ต้องทำ ๑๐ ครั้ง แต่ละครั้งใช้เวลาไม่ต่ำกว่า ๓ นาที

เวลาที่เนิ่นนาน บรรยากาศที่สงบไร้เสียงพูดคุย และความสลัวภายในห้อง จะค่อย ๆ น้อมใจผู้คนให้สงบ ผัสสะจะละเอียดขึ้น และความสุขจะบังเกิดทีละน้อย ๆ จากการได้ยินเสียงน้ำเดือดในกาและเสียงนกร้อง และจากการชื่นชมภาชนะที่ใช้ในการชงชา ซึ่งเปลี่ยนไปตามฤดูกาล เมื่อน้ำชาถูกนำมาต้อนรับ ใจที่สงบย่อมเข้าถึงรสชาติอันสุขุมลุ่มลึกได้ไม่ยาก

ศิลปะที่สุดยอดนั้นคือความงดงามที่กล่อมเกลาจิตให้สงบ นิ่ง และเย็น เข้าถึงภาวะที่โปร่งเบา และสัมผัสกับมิติอันลึกซึ้งภายใน แต่คุณค่าของศิลปะมิได้มีเพียงเท่านั้น หากยังสามารถนำพาให้ผู้คนซาบซึ้งถึงสัจธรรมของชีวิตด้วย

ในวัฒนธรรมการชงชาของญี่ปุ่น ถ้วยชาที่ถือว่างดงามและมีคุณค่าอย่างยิ่ง คือถ้วยชาที่มีผิวไม่เรียบ รูปทรงไม่สม่ำเสมอ และเปิดเนื้อดินเผาโดยไร้เครื่องเคลือบ ราวกับเป็นงานที่ยังไม่แล้วเสร็จ แต่งานเหล่านี้เป็นฝีมือของช่างชั้นครูที่เข้าถึงสุดยอดของศิลปะ คุณคงคาดไม่ถึงว่าถ้วยรูปร่างแปลก ๆ เหล่านี้บางใบมีมูลค่าสูงกว่ารถเบ๊นซ์เสียอีก แต่คุณค่าที่สำคัญกว่านั้นคือการเผยแสดงสัจธรรมของชีวิตและโลกว่า ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ นี้ก็เช่นเดียวกับเรือนชงชา ที่เปิดเนื้อไม้แสดงถึงความเก่าแก่ คร่ำคร่า ย้ำเตือนถึงความไม่เที่ยงของสรรพสิ่ง

ชีวิตคือความไม่สมบูรณ์แบบ มิอาจเป็นดั่งใจได้เสมอไป ขึ้นแล้วก็ลง งดงามแล้วก็แก่หง่อม หาความจิรังยั่งยืนไม่ได้ นี้คือสัจธรรมความจริง ที่ถูกยกย่องให้เป็นศิลปะอันน่าชื่นชม ผ่านวัฒนธรรมการชงชา ใครที่ร่วมพิธีชงชาจะถูกย้ำเตือนความจริงข้อนี้ จนอาจได้คิดว่าชื่อเสียง เกียรติยศ และความมั่งคั่งนั้น เป็นมายา แต่ถึงแม้จะไม่ยอมรับ ก็ต้องถูกพิธีนี้บังคับให้จำต้องยอมรับจนได้ เพราะทางเข้าเรือนชงชานั้นต่ำมาก จนแม้แต่จักรพรรดิหรือโชกุนก็ต้องก้มหัวเข้าไปเช่นเดียวกับสามัญชน และเมื่อเข้าพิธีแล้ว ไม่ว่าใครก็มีสถานะเสมอกัน

ศิลปะนั้นมักจะมองว่าเป็นเรื่องของความงาม แต่ศิลปะการชงชาเป็นตัวอย่างที่ชี้ว่าศิลปะก็สามารถเป็นสื่อแห่งความจริงได้ ความจริงนั้นมี ๒ ระดับ คือ ความจริงแบบสมมติ (สมมติสัจจะ) กับความจริงแบบปรมัตถ์ (ปรมัตถสัจจะ) นาย ก. เป็นรัฐมนตรี นาย ข. เป็นชาวนา นี่เป็นความจริงแบบสมมติ แต่เมื่อพูดถึงความจริงระดับปรมัตถ์แล้ว ทั้ง ๒ คนไม่ได้ต่างกันเลย เพราะต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย เช่นเดียวกัน หน้าที่อย่างหนึ่งของศิลปะคือการเปิดใจให้คนเห็นความจริงขั้นปรมัตถ์ ไม่หลงติดอยู่กับสมมติ

ความจริงยังสามารถแบ่งออกเป็น ความจริงแบบเฉพาะ และความจริงที่เป็นสากล งานศิลปะหลายชิ้นมีชื่อเสียง เป็นที่ยกย่องเพราะเปิดเผยสภาวะทางจิตของคนร่วมสมัย เช่น ความทุกข์ ความเหงา ความโดดเดี่ยว ได้อย่างมีพลัง ชนิดที่สัมผัสได้ด้วยใจ ทำให้เกิดอารมณ์สะเทือนไหว
หรือรู้สึกเหงาและหนาวเหน็บไปถึงหัวใจ

แต่มีงานศิลปะอีกหลายชิ้นที่ถ่ายทอดความจริงที่เป็นสากล เป็นอกาลิโก เช่น ความไม่เที่ยง ความพลัดพราก ที่มนุษย์ทุกคนต้องประสบ หรือพลังแห่งความกรุณาปราณีที่โอบอุ้มมนุษยชาติเอาไว้ บ้างก็เปิดใจให้เราเห็นอานุภาพแห่งธรรมะหรือสิ่งสูงสุด ที่ทำให้เรามีความหวังแม้ในยามมืดมิดที่สุดของชีวิต

งานศิลปะชั้นครู เมื่อเปิดเผยความจริงให้เราสัมผัส ไม่ว่าความจริงเฉพาะหรือความจริงอันสากล มักก่อให้เกิดแรงบันดาลใจในอันที่จะทำสิ่งดีงาม งานบางชิ้นถ่ายทอดโศกนาฏกรรมของเพื่อนมนุษย์ได้อย่างสะเทือนใจ จนเราไม่อาจอยู่นิ่งเฉยได้ เพราะรู้สึกถึงแรงผลักจากมโนธรรมภายในให้อยากทำบางอย่างเพื่อช่วยเหลือเขา

ดังนั้นนอกจากความงามและความจริงแล้ว ศิลปะยังสามารถเป็นสื่อกระตุ้นให้เกิดความดีขึ้นได้ ความงาม ความจริง และความดีจึงมิใช่สิ่งที่แยกจากกัน กล่าวได้ว่าหน้าที่สูงสุดของศิลปะก็คือ ประสานความงาม ความดี และความจริงให้เป็นหนึ่งเดียวกันนั่นเอง

ชีวิตนั้นมีหลายมิติ เราแต่ละคนมีสัมพันธภาพที่หลากหลาย ในฐานะปัจเจกบุคคล เราต้องสัมพันธ์กับสิ่งรอบตัว อาทิ ผู้คน สังคม และธรรมชาติ ขณะเดียวกันเราก็ต้องไม่ละเลยชีวิตด้านในจนแปลกแยกกับตัวเอง จะทำเช่นนั้นได้ เราต้องสัมพันธ์กับสิ่งสูงสุดด้วย ไม่ว่าจะเป็นปรมัตถสัจจะ นิพพาน หรือพระเจ้าก็ตาม

หากสัมพันธภาพกับผู้คน สังคม และธรรมชาติ เป็นสัมพันธภาพแนวนอน สัมพันธภาพแนวตั้ง เบื้องล่างคือสัมพันธภาพกับชีวิตด้านใน เบื้องบนคือสัมพันธภาพกับสิ่งสูงสุด

ในฐานะที่เป็นสะพานพาให้เข้าถึงความงาม ความจริง และความดี ศิลปะคือสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เรามีสัมพันธภาพกับสรรพสิ่งอย่างรอบด้าน ทำให้เราเห็นคุณค่าของธรรมชาติ เห็นมนุษย์ทุกคนเป็นพี่น้องกัน หยั่งลึกถึงจิตวิญญาณของตน และเข้าถึงสิ่งสูงสุดได้

ศาสนามีความหมายกับชีวิตอย่างไร ศิลปะก็มีความหมายอย่างนั้นกับเรา ชีวิตที่ดีงามกับศิลปะจึงไม่อาจแยกจากกันได้ ศิลปะช่วยให้ความเป็นมนุษย์ของเราสมบูรณ์และงดงาม

"ติดดี" โดยพระอาจารย์ไพศาล

ติดดี - พระอาจารย์ไพศาล: คัดลอกบทความจาก www.palungjit.com




--------------------------------------------
สำหรับผมแล้ว บทพระธรรมเทศนานี้ ดีมากจริงๆ เลยคัดลอกมาฝากครับ
ผิดพลาดล่วงเกิน ขออภัยขอขมาครับผม ..... จขกท
--------------------------------------------

เมื่อมีภาพพจน์ว่าเป็นคนดีแล้ว
เราก็มีภาระที่จะต้องทำตัวให้เป็นคนน่ารัก ยิ้มแย้มแจ่มใส
ยิ่งเป็นที่นับถือรักใคร่ของคนทั่วไปมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเพลิดเพลิน
จนทำตัวให้เกินเลยจากที่ตัวเองเป็นมากเท่านั้น...


------------------------------------------------------

ใครๆ ก็อยากเป็นคนโอบอ้อมอารี มีจิตใจมั่นคงหนักแน่นสุภาพอ่อนน้อม
เสียสละเพื่อผู้อื่น ไม่ต้องอธิบายก็รู้ว่า ลักษณะเหล่านี้เป็นคุณสมบัติของคนดี
เป็นคุณธรรมที่ควรมีประจำจิต แต่คุณธรรมและความดีนั้น
ถ้าเราไม่รู้เท่าทัน ก็อาจโดนมันขบกัดเข้าได้ง่ายๆ

ถ้ายังสงสัย ลองฟังนิทานสองเรื่องนี้ดู

อาจารย์ผู้หนึ่งเป็นที่เลื่องลือว่าสำเร็จธรรมขั้นสูงจิตใจไม่หวั่นไหวกับอะไรง่ายๆ
คราวหนึ่งเกิดแผ่นดินไหวขึ้นมา ลูกศิษย์ทั่วทั้งสำนักแตกตื่น
แต่ท่านกลับสงบนิ่ง ยังความประทับใจแก่ลูกศิษย์เป็นอันมาก

หลายวันต่อมา เมื่อสานุศิษย์ถามอาจารย์ว่า จิตใจที่มั่นคงหนักแน่นหมายถึงอะไร
อาจารย์ก็อ้างท่านเป็นตัวอย่างด้วยความภาคภูมิใจว่า
"ท่านเห็นหรือไม่ว่า ขณะที่ทุกคนวิ่งแตกตื่นยามเกิดแผ่นดินไหว
เรากลับนั่งเฉยและจิบน้ำชาอย่างสงบ
พวกท่านเห็นมือของเราสั่นขณะถือแก้วหรือไม่ ?"

"ไม่ครับ" ศิษย์ผู้หนึ่งตอบ และกล่าวต่อไปว่า
"แต่อาจารย์ไม่ได้ดื่มน้ำชานะครับ อาจารย์ดื่มซีอิ๊วต่างหาก"

เรื่องที่สองก็เกี่ยวกับอาจารย์อีกเหมือนกัน แต่เป็นคนละสำนัก
คราวหนึ่ง ท่านได้ออกธุดงค์กับศิษย์ เมื่อถึงกลางป่าก็เจอช้างตกมันวิ่งเข้าหา
ทั้งอาจารย์ทั้งศิษย์วิ่งหนีคนละทิศละทาง

หลายปีต่อมา ขณะที่อาจารย์ป่วยหนักนอนแบบอยู่
ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปได้นานอีกเท่าใด ลูกศิษย์ตัดสินใจรวบรวมความกล้า
ถามปัญหาที่ติดค้างในใจมานานว่า "อาจารย์ตกใจด้วยหรือเมื่อเจอช้างป่า ?"

"ไม่หรอก" อาจารย์ตอบ
"ถ้าเช่นนั้นทำไมอาจารย์ถึงวิ่งหนีพร้อมกับเราล่ะครับ ?"
"เราคิดว่า การหนีช้างป่านั้นดีกว่าการอยู่อย่างลำพองใจเป็นไหนๆ " อาจารย์ตอบ

การไม่หวั่นไหวต่อภยันตรายนั้นเป็นเรื่องดี

แต่ถ้าเลือกได้ระหว่างอาจารย์สองคนนี้ ท่านอยากเป็นคนไหน ?
ใครที่เข้าถึงคุณธรรมมากว่ากัน ?

คุณธรรมและความตั้งมั่นแห่งจิตนั้น ย่อมนำความสุขมาให้แต่ขณะเดียวกัน
ความลำพองใจว่าตนนั้นเลิศประเสริฐกว่าผู้อื่น
ก็มักหาโอกาสเล็ดลอดตามมาด้วย ถ้าไม่ระวังมันก็เข้าครองใจได้โดยง่าย


---------------------------

ความคิดความสามารถในทางจิตใจนั้น
มักเป็นหลุมพรางให้เราหลงติดกับดักของกิเลสอีกชนิดหนึ่ง
ที่ละเอียดและแนบเนียนยิ่งกว่าความโลภและความโกรธ
นั่นคือความถือตัวหลงตน ความสำคัญตนว่าเป็นคนดี มีคุณธรรม

เมื่อใดที่เราสำคัญตนว่าเราเป็นคนดี คนอื่นก็ดูด้อยกว่าเราไปหมด
(ยกเว้นคนที่ทำตัวได้ดีกว่าเรา) ถ้าไม่เหม็นเบื่อคนอื่น
ก็มักจะมีอาการสงสาร อยากจะสอนอยากชี้แนะอยู่ร่ำไป

ขณะเดียวกันจะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ก็มักจะหาโอกาสแสดงตน
ให้ผู้อื่นเห็นความดีความสามารถของเราอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย


ครั้นผู้คนยอมรับนับถือความดีของเรา เราก็มีภาพพจน์ที่จะต้องรักษา
แต่ขึ้นชื่อว่าภาพพจน์แล้ว ก็ล้วนเป็นภาระที่ต้องแบกต้องหามทั้งนั้น
เราทนไม่ได้หากคนอื่นจะเห็นความอ่อนแอหรือความเห็นแก่ตัวของเรา

ดังนั้นจึงต้องปกป้องตนเองอยู่เสมอ บ่อยครั้งต้องทุ่มเถียงเป็นวรรคเป็นเวรว่า
ฉันไม่ได้โกรธ ไม่ได้พูดโกหก ไม่ได้เห็นแก่ตัว ฯลฯ
ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องธรรมดามิใช่หรือหากคนเราจะโกรธ จะพลั้งเผลอ
หรือมีความเห็นแก่ตัวอยู่บ้างตราบใดที่ยังเป็นปุถุชนอยู่

เมื่อมีภาพพจน์ว่าเป็นคนดีแล้ว เราก็มีภาระที่จะต้องทำตัวให้เป็นคนน่ารัก
ยิ้มแย้มแจ่มใส ยิ่งเป็นที่นับถือรักใคร่ของคนทั่วไปมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเพลิดเพลิน
จนทำตัวให้เกินเลยจากที่ตัวเองเป็นมากเท่านั้น

นานเข้าก็หลงเชื่อว่าตนเป็นอย่างที่คนอื่นนึกว่าเป็นจริงๆ
เราจึงมิได้เป็น "พระเอก" หรือ "นางเอก" ในสายตาของคนรอบข้างเท่านั้น
หากยังเป็นพระเอกนางเอกในความรู้สึกของตนเองอีกด้วย

แต่พระเอกนางเอกนั้นมีอยู่แต่ในหนัง ในชีวิตจริงทุกคน
ก็มีความเข้มแข็ง ความอ่อนแอ ความดี ความไม่ดี คละเคล้ากันไป

ถ้าหลงตนว่าเป็นพระเอกนางเอกเสียแล้ว เราไม่เพียงแต่จะหลอกตนเองเท่านั้น
หากยังหลอกผู้อื่น ตอนแรกก็ปกป้องตนเองด้วยการปกปิดจุดอ่อนจุดเสีย
แต่ตอนหลังก็ถึงกับบิดพลิ้วความจริง จนกลายเป็นคนฉ้อฉลไปโดยไม่รู้ตัว


คุณธรรมความดีนั้น หากเราไม่เท่าทัน เกิดไปหลงติดเข้า
ก็อาจพาชีวิตหลงทิศหลงทาง จนถึงขั้นทำสิ่งเลวร้ายยิ่งกว่าการพูดปด
เพื่อรักษาภาพพจน์เสียอีก คนที่คิดว่าตนเป็นคนเมตตา รังเกียจการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต

ถ้าไม่ระวังตัว ก็อาจเป็นฆาตกรเสียเองเพราะจงเกลียดจงชังคนที่ไม่มีเมตตาเหมือนตน


ดังนักต่อต้านการทำแท้งในอเมริกา ซึ่งอ้างตัวว่าเป็นผู้เชิดชูชีวิต (pro - life)
แต่แล้วกลับลงมือสังหารหมอที่เปิดคลินิกทำแท้ง
เพราะทน "ความไร้ศีลธรรม" ของคนเช่นนั้นไม่ได้

มีนักปฏิบัติธรรมผู้หนึ่ง ซึ่งเคร่งครัดในการรักษาศีล แม้แต่ยุงเธอก็ไม่ตบ
จนเพื่อนๆ เรียกว่าแม่พระ แต่เมื่อพบว่าลูกสาวเกิดท้องทั้งๆ ที่ยังไม่ทันแต่งงาน
เธอก็นึกถึงการทำแท้งขึ้นมาทันที เพราะกลัวเสียชื่อเสียงของตนเองและวงศ์ตระกูล

ภาพพจน์จากความดีที่บำเพ็ญบ่อยครั้ง ก็ทำให้คนเราต้องทำสิ่งตรงข้ามกับความดีนั้น
เพื่อรักษาภาพพจน์ดังกล่าวต่อไป


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ที่พูดมาทั้งหมดนี้ มิใช่ให้เราปฏิเสธความดี
ไม่มีอะไรอีกแล้วที่ควรค่าแก่การบำเพ็ญเท่ากับคุณงามความดี

สิ่งสำคัญอยู่ตรงที่ว่า เราพึง ทำความดี ยิ่งกว่าที่จะทำตนเป็นคนดี

ความดีนั้นมีไว้สำหรับกระทำ มิใช่มีไว้เพื่อใช้เปรียบเทียบตนกับผู้อื่น
หรือเพื่อแบกหามล่ามโซ่ตนเอง


ความดีนั้นเอื้อให้เกิดสุข และความสุขก็ช่วยให้เรามั่นใจในการทำความดียิ่งๆ ขึ้นไป
แต่เมื่อใดที่ยึดติดกับความดี เพราะหลงไหลในเกียรติยศชื่อเสียง
และความนับหน้าถือตาของผู้อื่นแล้ว
ความดีนั้นเองจะทิ่มแทงขบกัดและอาจถึงขั้นทำลายเราในที่สุด


คนเป็นอันมากทุกข์ใจเพราะดีได้ไม่ถึงขนาด
พ่อแม่กินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะลูกดีไม่ได้ดังใจ
ทั่วทุกหนแห่งมีแต่คนท้อแท้ผิดหวังเพราะไม่มีใครเห็นความดีของตน
ไม่ใช่ความน้อยเนื้อต่ำใจในความดีที่ถูกเมินเฉยดอกหรือ
ที่ผลักไสให้คนแล้วคนเล่าฆ่าตัวตาย

อันตรายของความดีนั้นอยู่ตรงที่ทำให้เราหลงตนลำพองใจได้ง่าย

ดังนั้นการมีสติเท่าทันในการทำความดีจึงเป็นสิ่งจำเป็น


แม้จะแน่ใจว่าทำดีด้วยใจบริสุทธิ์ แต่ก็ยังต้องระวังผลจากการทำความดีนั้นด้วย
ไม่ว่าจะเป็นผลโดยตรงหรือผลพลอยได้ โดยเฉพาะความสำเร็จ
ภาพพจน์ชื่อเสียง และการยอมรับนับถือจากคนรอบข้าง
หากเพลิดเพลินยินดีในสิ่งนั้นเมื่อไร เราก็ไม่ต่างจากปลาที่หลงฮุบเหยื่อ


บ่อย ครั้งไม่มีอะไรดีกว่าการกำราบหรือทรมานอัตตาตนเอง ยิ่งติดในภาพพจน์ตนเองมากเท่าไรก็ยิ่งสมควรทำอะไรเชยๆ เปิ่นๆ เสียบ้าง จะได้ดัดนิสัยชอบวางมาดวางฟอร์มให้เข็ดหลาบ

การทำตนเป็นคนขลาดกลัวช้างป่าให้ใครต่อใครเห็น
บางทีก็ฝึกฝนจิตใจได้ดีกว่าการทำตัวเป็นคนสงบไม่หวั่นไหวต่อแผ่นดินไหว


ถ้าหลงไหลในตนเองมากไปแล้ว ก็หัดหัวเราะเยาะตัวเองบ้าง
เวลาพลั้งเผลอปล่อยไก่ต่อหน้าธารกำนัล จะได้ไม่ถือว่าเป็นเรื่องเสียหน้าเสียศักดิ์ศรี
แต่กลับถือเป็นเรื่องน่าหัวไปเสีย

ถ้าทำเช่นนี้ได้ ชีวิตจะไม่เครียด เพราะมีมุขมีเกร็ดให้แอบหัวเราะคนเดียวได้เรื่อยไป
และเมื่อถึงเวลาเป็นงานเป็นการ ใจเราจะเปิดกว้างมากขึ้นต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์


คนเราถ้าไม่คิดเป็นพระเอกนางเอกอยู่ร่ำไป ก็พร้อมจะยอมรับข้อผิดพลาด
และมองหาจุดอ่อนของตน แทนที่จะเอาแต่โทษคนอื่น
หรือคอยจับผิดเพื่อนร่วมงานอยู่ท่าเดียว

ในนิยายกำลังภายในหลายเรื่อง พรรคเทพมักเป็นตัวร้าย
ขณะที่พรรคมารกลับกลายเป็นผู้ทรงคุณธรรม

ในชีวิตจริง ก็มักเป็นเช่นนั้น ทั้งนี้เพราะความเป็นเทพชวนให้เกิดความลำพอง
และฉ้อแลได้ง่ายด้วย ถือว่าถ้าเจตนาดีแล้ว จะใช้วิธีเลวร้ายอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น
ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครยอมเชื่อดอกว่าเราจะทำตัวเลวร้ายอย่างนั้นได้


ถ้าเลิกความเป็นเทพเสียได้ แต่ไม่ต้องถึงกับไปเป็นมารดอก
เพียงแต่คืนสู่ความเป็นคนธรรมดาสามัญ รู้เท่าทันตนเองเท่านั้น
ชีวิตก็จะน่าอภิรมย์และเป็นสุขอย่างยิ่ง


______________________________________
จาก สุขใจในนาคร ศิลปะแห่งการอยู่เมืองอย่างมีความสุข
โดย พระไพศาล วิสาโล

คัดลอกจาก...��ҹ���� carefor.org

วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เรื่องเล็ก เอ็กซิบิชั่น


สวัสดีพี่น้องทุกท่าน

ไม่อ้อมค้อมแล้วนะ เนื่องจาก วงน้ำชาขอนแก่น (วงน้ำชา คือ วงน้ำใจ ศิลปะ ศาสตร์ สุนทรียสนทนา

การเรียนรู้ของจิตและกาย โดยมีน้ำชา เป็นสื่อกลางให้คนมาเจอกัน

เป็นร้านเล็กๆ ที่ไม่หวังผลกำไร แต่หวังว่าเราจะได้มาเรียนรู้เพื่อเติบโตภายในใจ)

ใกล้จะครบ ๑ ขวบแล้วในวันที่ ๑๐ ตุลาคมที่จะถึง น้องหมีแพนด้า ก็พึ่งจะฉลอง ๒ เดือนไป

เราเองก็อยากมีเหมือนกันเลยมีเรื่องอยากจะชวนท่านมาแสดงงานศิลปะด้วยกัน นะก๊าบ

เป็นนิทรรศการศิลปะ ครั้งที่ ๓ แล้ว


ครั้งเเรก -ศิลปะแบบเด็กๆ(มกราคม)


ครั้งที่ ๒ - ภาพถ่าย เมตตา ภาวนา ว่าด้วยรัก(กุมภา-มีนา)


คราวนี้ใช้ชื่อว่า เรื่องเล็ก เอ็กซิบิชั่น เป็นการแสดงงานศิลปะ งานเขียน กวี ภาพถ่าย

โดยผลงานที่ว่านั้น จะอยู่บนพื้นที่เล็กๆ ที่เรียกว่าโปสการ์ด หรือไปรษณียบัตร นั้นแหละครับพี่น้อง

ขอชวน ท่าน มาสนุก มาแสดงงานด้วยกันงานรับไม่จำกัดประเภท ไม่จำกัดวิธี ไม่จำกัดจำนวน (ผลงานตั้งเป้า ๓๕๖ ชิ้น)ขอเพียงผลงานท่านอยู่บนโปสการ์ด เป็นพอ แล้วส่งมาเลยที่วงน้ำชา ขอนแก่น (วงน้ำชา คือ วงน้ำใจ ) เลขที่ ๖๑๑ ถนนรอบบึงแก่นนคร ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น ๔๐๐๐๐ ร่วมส่งผลงาน ตั้งแต่บัดเดี๋ยวนี้ จนถึง สิ้นเดือน กันยายน ๕๒ ส่วนรายละเอียด ของ กิจกรรม งาน จะแจ้ง ให้ทราบอีกครา

เราคงได้เห็นผลงานของท่าน พร้อมเรื่องราวดีๆ บนโปสการ์ดเล็กๆ ที่มันจะถูกส่งมาจากทั่วทุกมุมโลก

แล้ววันนั้นโปสการ์ด ของท่านและโปสการ์ด ของเราทุกคน จะถูกรวมกันเพื่อได้มาแบ่งปัน

เรื่องราวเล็กๆ ของคน เล็กๆ กับงานศิลปะเล็กๆ บนกระดาษที่เรียกว่าโปสการ์ดแผ่นเล็กๆ

ในงาน "เรื่องเล็ก exibition "ขอพลังเล็กๆจงอยู่กับท่าน


สอยอ

วงน้ำชาขอนแก่น


วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ดื่มน้ำ....ชา....ในร้าน โดย ป.อุทุมพร


ดื่มน้ำ....ชา....ในร้าน
น้ำแห่งจิตนั้นหรือ
คือมิตรภาพที่เบ่งบาน
คือสายธารสร้างสรร
ไหลละลิ่วชำระโสโครก
ในห้วงเหวหลุมดำฯ
ชาแห่งธรรมชาติ
สะอาด พิสุทธิ ลึกล้ำ
กำเนิดแห่งความดีงาม
ต้นธารแห่งตัวรู้
สัจจะชุ่มอยู่ซ่อนอยู่
ณ ต้นชานั้นๆ
ร้านคือสถานบ่มเพาะ
กะเทาะเปลือก...เลือกเอาแก่น
ฤาจักมีอันใดอีกห่อหุ้ม
หากมิใช่แก่นแกนแห่งชีวินฯ
น้ำ...ชา...แลร้าน ปรากฎเป็นหนึ่ง
จึงเปล่งประกายส่องสว่าง
สีรุ้งเจ็ดสีบ่งบอก...สิ่งใด
หากมิใช่ ความงดงาม
อันมวลมนุษย์เสาะแสวงหาฯ

บทกลอนโดย ป.อุทุมพร ริมบึง ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๒

ณ ร้านวงน้ำชาขอนแก่น

วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ขอเชิญร่วมงาน "หนังสือ คน ต้นไม้" วันที่ ๓๐-๓๑ พ.ค. ๒๕๕๒, You are invited to join the "Book People and Tree" Fair between 30th-31st of May, 2009!




The "Book, People and Tree Fair" underlines the important of non-formal education. We would like to celebrate the life long joy of learning through involving ourselves with different activities and methods. Our ideas came from Artlane Festival in February 2009 and we realized that it's so important to create a space which is fun and interactive. People of all ages could participate and enjoy what they would like to learn. There is an activity such as workshops on water color painting, how to make Bonsai and or other plants, discussion on books and the love of reading, etc. Please feel free come and join our activities of your interest. But if you can't come, please let the others know! For more information, please contact: 081-974-0290 or wongnamchakhonkaen@gmail.com :)

ในปี พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๒ เทศบาลนครขอนแก่นร่วมกับภาคประชาสังคมได้ริเริ่มและพัฒนางานคุณภาพชีวิตและ ทุนทางสังคมของประชาชนในเขตเทศบาลฯ และบริเวณใกล้เคียงในหลายๆ รูปแบบ อาธิเช่น การจัดงานบุญคูณเมืองระหว่างในเดือนตุลาคม ๒๕๕๑ และการจัดงานถนนศิลปะ (งานอาร์ทเลนน์) ระหว่างวันที่ ๖-๗ เดือน กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ เป็นต้น ก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของผู้คนจากหลากหลายภาคส่วน การศึกษาตามอัธยาศัยและการสร้างความจรรโลงใจ พร้อมทั้งเป็นการกระจายรายได้ในพื้นที่และส่งเสริมให้เกิดความสุนทรีย์ในการ เรียนรู้พร้อมๆ กันไป
ทั้งนี้เทศบาลนครขอนแก่นพร้อมทั้งภาคประชาสังคม ในหลายๆ ภาคส่วนและสถาบันการศึกษาในท้องถิ่นได้เล่งเห็นความสำคัญของนโยบายดังกล่าว และประสงค์ที่จะสร้างความต่อเนื่องในการพัฒนาการศึกษาตามอัธยาศัยจึงได้ก่อ ให้เกิดความร่วมมือในการจัดงาน “หนังสือ คน ต้นไม้” เพื่อเป็นการสร้างสรรค์และพัฒนาการศึกษาและคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างต่อ เนื่องต่อไป
หากท่านประสงค์จะทราบข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ For more information, please contact: 081-974-0290 or wongnamchakhonkaen@gmail.com :)